เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกคนเดียว 7 วัน จัดเต็ม Tokyo|Kawaguchiko|Kyoto|Osaka

Glad มีความฝันตั้งแต่สมัยมัธยมว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเพื่อนๆ นัดกันไว้ตั้งแต่สมัยนู้น ไปๆมาๆ เวลาก็ผ่านเลยไป…เข้ามหาลัย จนเรียนจบ ต่างคนก็ต่างทำงาน จนบางคนก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว จนกระทั่ง Glad ย้ายมาอยู่ที่อเมริกา จะหาเวลาตรงกันก็ยิ่งแล้วใหญ่…ญี่ปุ่น ประเทศที่ไม่เคยหายไปจาก bucket list ของ Glad บวกกับมีแพลนจะกลับไทยพอดี…เลยตัดสินใจถือโอกาสตีตั๋วยาวหลังจากกลับไทย อยู่ญี่ปุ่นสัก 7 วันก่อนกลับอเมริกา… เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก เที่ยวคนเดียวครั้งแรก แพลนเองครั้งแรก…จะเป็นยังไง ต้องหลง ล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน… ไปดูกันเล้ยยยย

ก่อนออกเดินทาง

ช่วงที่ Glad ไปเป็นช่วง Low Season ใบไม้ก็ยังไม่เปลี่ยนสี ฝนตกหน่อยๆ เป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม ถึง ต้นเดือนพฤศจิกายน ช่วงนี้ตั๋วจากอเมริกามีความสมเหตุสมผลมากๆ เลยจองตั๋วเครื่องบินไปลงที่โตเกียว Narita และกลับสนามบินเดิม เนื่องจากยังไม่มีแพลนหรือเมืองไหนในใจในตอนนั้น

จองตั๋วเครื่องบินเดือนมิถุนายน ไปจองโรงแรมเดือนสิงหาคม มาดูแพลนสถานที่รายละเอียดการเดินทางอีกทีก็เดือนตุลาคมเลย…

ที่นี้พอจองโรงแรม ก็ต้องมาดูแล้วว่าเราอยากไปเมืองในบ้าง ด้วยความที่ไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อน บวกกับอยากจะเก็บเมืองที่มีความนิยมให้หมด จองโรงแรมตามเมืองที่อยากไป โดยไม่ได้ทำการบ้านหรือรายละเอียดเลยว่า ต้องใช้เวลาในการเดินทางไปแต่ละเมืองเท่าไหร่ยังไง แพลนการจองโรงแรม และวันที่อยู่ในเมืองต่างๆก็ออกมาประมาณนี้

พอจองโรงแรมเสร็จ กลับมาดู อื้อหื้อ!!! วางแพลนไว้วันต่อวัน เมืองต่อเมืองเลยทีเดียว!!! จะรอดไหม? ไปดูกัน…!!!

วันที่ 1 | Ueno, Tokyo

ครื่องลงถึงสนามบิน Narita เวลาประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง เนื่องจาก Glad เดินทางมาจากไทย และจุดหมายปลายทางคืออเมริกา จึงทำให้ Glad มีกระเป๋าใบใหญ่ถึง 2 ใบ และ carry-on อีกหนึ่งใบ เมื่อเครื่องลงสิ่งแรกที่ต้องทำคือนำกระเป๋าใบใหญ่ทั้งสองใบไว้ที่สนามบิน บริการฝากกระเป๋าที่สนามบินจะมีหลายเจ้าและมีหลาย terminal ให้บริการ ซึ่งราคาจะพอๆกัน จากข้อมูลใน link ด้านล่าง
https://www.narita-airport.jp/en/service/svc_06
ที่ Glad เลือกคือ GPA https://www.gpa-net.co.jp/en/passenger-service/baggage-storage/ ซึ่ง rate ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของกระเป๋า ราคามีตั้งแต่ตั้งแต่ ¥310-820 ต่อใบต่อวัน

พอฝากกระเป๋าเสร็จเราก็นำตั๋วที่ซื้อ online มาไปแลก Japan Rail Pass ตัวจริงค่ะ Glad เลือกใช้ JR Pass เนื่องจากวางแผนว่าจะนั่ง Shinkansen สองครั้ง ซึ่งหากคำนวณดูแล้ว บัตร JR Pass มีราคาที่ถูกกว่า… Glad สั่งซื้อบัตรจากเว็บไซต์ที่หาได้จาก Google ด้วยความที่ไม่คิดอะไรมาก เลยกดจากลิงค์แรกที่เห็น แต่ก็ต้องเช็คก่อนด้วยว่าเป็นเว็บไซต์ที่เชื่อถึงได้จริงรึเปล่า https://www.japan-rail-pass.com/ Glad ซื้อ Pass แบบ 7 วันในราคา $271 หรือประมาณ 8,130 บาท เขาจะถามที่อยู่ และส่งบัตรชั่วคราวมาให้ทางไปรษณีย์ บัตรนี้ไม่สามารณใช้ขึ้นรถไฟได้ เราต้องเอาไปเปลี่ยนเป็นบัตรจริงที่สนามบิน หรือ ตาม Visitor Center ของ JR Pass ก่อนค่ะ

ข้อดีของ JR PASS อีกอย่างนึงคือ สามารถนั่ง NARITA EXPRESS(N’EX) ซึ่งเป็นขบวนรถไฟด่วน ตรงไปสถานี Tokyo หรือ Shibuya/Shinjuku และอื่นๆ ได้ฟรีอีกด้วย เราแค่ต้องจองที่นั่งและเวลาไว้ ซึ้งเราสามารถสอบถามพนักงานและจองได้เลยหลังจากทำการแลก JR PASS แล้ว สามารถดูตารางคร่าวๆเพื่อวางแผ่นก่อนได้ที่ https://www.jreast.co.jp/ltd_exp/pdf/20210313_nex.pdf

Glad นั่งไปลงที่สถานี Tokyo และต่อรถไฟไปสถานี Ueno เพื่อพักคืนแรกที่นี่ ถึงโรงแรม Hotel Park Side ประมาณหกโมงครึ่ง Check In เก็บกระเป๋า…สำรวจห้องพักกันก่อนเลย

หิวแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า ปักหมุดไว้ใน Google map เลือกไปเลือกมา มาลงเอยที่ร้านนี้ Gyukatsu Motomura Ueno ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก ระหว่างทางก็ยังมีคนเดินไปมา และมีแสงไฟอยู่ตลอดทาง…

ร้านนี้มีอยู่หลายสาขา อร่อยมาก ไม่ผิดหวังเลย…

เนื้อจะเตรียมมาให้โดยที่ข้างในยังไม่สุก ให้เราทำให้สุกตามใจชอบอีกที

อิ่มท้องแล้ว… ไปกันต่อที่ย่าน Akihabara เดินดูสีสันตอนกลางคืน คีบตุ๊กตาได้แมวจิ๋วมาหนึ่งตัว เป็นที่ระลึก เป็นอันจบวันแรกค่ะ… ^^

วันที่ 2 | Tokyo, Kawaguchiko(Mt.Fuji)

Check out ตอน 7 โมงครึ่ง และฝากกระเป๋าไว้ที่เคาร์เตอร์โรงแรม จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ Tokyo Sky Tree…นั่งรถไฟไปแล้วตามที่ Google Map บอก ทริปนี้พึ่งพี่กู(เกิ้ล)อย่างเดียว วันนี้ฝนตก ฝ้าครึ้มแต่เช้า เลยต้องแวะซื้อร่มและเฝ้าดูอยู่ห่างๆ

บริเวณโดยรอบของ Tokyo Sky Tree ก็ดูน่านั่งน่าเดินเล่นไม่น้อย ถ้ามาในช่วงเวลาที่ฝนไม่ตก

เดินเล่นนิดหน่อยก็นั่งรถไฟไปกันต่อกันที่ วัด Asakusa วัดโคมแดงที่ทุกคนที่มา Tokyo มักจะมาบ่อยๆ เราก็มาเสี่ยงเซียมซี ทำบุญสักหน่อย

มาเช้าไปหน่อย ร้านค้าตรงถนนหน้าวัดยังไม่ค่อยเปิดมากนัก…

จุดหมายปลายทางต่อไปคือ Kappabashi Utensils Street ใช้เวลาไม่กี่นาทีเดินจากวัด Asakusa ถนนที่นี่ เป็นถนนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถิ่นที่มีเครื่องครัวขายหลากหลายชนิด Glad เป็นคนที่ชอบซื้ออุปกรณ์เครื่องครัวมากกกก บางอย่างซื้อมาก็ไม่ได้ใช้ แต่ชอบมาก ชอบลองทำอาหาร…สรุปจากการเดินที่ถนนครั้งนี้ เราได้ตะเกียบยาวญี่ปุ่นสำหรับทำอาหาร ตะเกียบทั่วไป  และ…มีดครัวญี่ปุ่น ราคาสูงอยู่ หลงซื้อมาแล้ว เก็บไว้ใช้ ไว้เป็นแรงบันดาลใจในการทำอาหารของเราต่อไป ^^ เตรียมพาสปอร์ตไปด้วย เพราะเราสามารถทำ Tax Refund ได้ที่ร้านข้างๆเลย

มีเวลาไม่มากเพราะต้องไปต่อรถบัสไป Kawaguchiko ตอน บ่ายสองสี่สิบห้า ใจเราก็อยากไปกินข้าวที่ Tsukiji Market รออะไรล่ะ บึ่งไปกันต่อเลย นั่งรถไฟไปตาม Google เช่นเคย เดินเข้าไปในตลาดแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว มีร้านให้เลือกเยอะมาก แทบทุกก้าว สรุปก็เดินเข้าร้านร้านนึงที่ได้จากใบปลิวที่เขาแจกแบบงงๆ แล้วได้สิ่งนี้มา… ถ้าใครสนใจ เดี๋ยวบอกพิกัดให้นะคะ…:)

อิ่มท้องแล้ว กลับโรงแรมก่อนเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้เมื่อเช้า และต่อรถไฟไปขึ้นรถบัสที่ Shinjuku Expressway Bus Terminal สามารถทำการจองล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ https://highway-buses.jp/course/kawaguchiko.php

ตั๋วราคาอยู่ที่ ¥2000 จองเสร็จ เขาจะให้ลิงค์มา ซึ่งเราสามารถใช้เป็นตัวได้ น่าตาแบบนี้ Highway Bus Ticket ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที …ใกล้ถึงแล้ว เห็น Mt.Fuji อยู่ไกลๆ ^^

ถึงแล้ววว…สถานี Kawaguchiko

แวะเคาเตอร์สถานีเพื่อซื้อ Unlimited Ride Pass ก่อนเลย สามารถขึ้นได้ทุกสาย ใช้ได้ 2 วัน ราคาอยู่ที่ ¥1500 รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่นี่ https://en.kawaguchiko.net/bus-stop-en/kawaguchiko-station/

ซื้อบัตรแล้วเค้าจะให้แผนที่มาให้ หรือเราสามารถดูออนไลน์ได้เช่นกันค่ะ
Kawaguchiko Map

แวะหาอะไรทานที่สถานีซะหน่อย… ได้เจ้านี่มา Yoshida Udon เป็นอุด้งที่มีเส้นหนากว่าปกติ เป็นอุด้งแบบเฉพาะของแถวนี้ค่ะ

วันนี้ไม่มีแพลนต่อ นั่งรถบัสสายสีแดงไปลงสถานีสุดท้าย สถานีที่ 20

ด้วยความที่นั่งรถบัสสายสุดท้ายของวัน ไปลงสถานีสุดท้าย นั่งไปนั่งมา ไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ฮือออ T^T

ด้วยความที่กะเวลามาพลาด ดูจาก Google Map แล้วมันดูไม่ได้ไกลมาก แต่จริงๆก็ต้องใช้เวลาเดินจากป้ายรถบัสไป Guest House ประมาณ 20 นาที ฟ้าก็มืดแล้ว… เราก็คิดว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ปลอดภัย จึงตัดสินใจเดินไปในตรอกมืดๆ มีโคมไฟสลัวๆเป็นช่วงๆจากบ้านหลังเล็กๆตามทาง ต้องใช้ไฟฉายจากมือถือเป็นตัวช่วย… ลากกระเป๋าไปจนถึงโรงแรม ระหว่างทางไม่กลัวคนเลยค่ะ กลัวแต่ผี T^T แต่ผ่านมาได้ก็ถือว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่… เอาจริงๆ ถ้ามืดแล้วไม่แนะนำให้เดินจากป้ายนะคะ ยิ่งถ้ามีของเยอะแล้วถือว่าไกลอยู่ ถ้าโทรหา Guest House Glad มั่นใจค่ะว่าเขายินดีขับรถมารับ 🙂

ในที่สุดก็ถึงค่ะ 
Guest House Sakuya

สิ่งแรกที่เขาถามคือ เดินทางมายังไง ^^” แหะๆ พอถึงตอนนี้คือหิวมาก…ทาง Guest House มี Dinner Set ให้เราสั้งได้ อยู่ที่มื้อละ ¥800

ตอนช่วงที่ Glad ไปเป็นช่วงก่อนฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ทำให้มีคนไม่มากนัก นับคนที่มาอยู่ได้ประมาณ สี่ถึงห้าห้อง เป็น Guest House เล็กๆน่ารัก และเชื่อว่าคนไทยมาที่นี่กันเยอะมาก ดูได้จากแผนที่ในห้องนั่งเล่น

หลังจากทานข้าวเสร็จ ทาง Guest House บอกว่าที่นี่มีห้อง Onsen สองห้อง โดยในช่วงเช้าจะเปิดห้องรวมโดยแยกชายหญิง แต่ในตอนกลางคืนสามารถเลือกเวลาเพื่อจองเป็นห้องส่วนตัวได้ 40 นาที … ห้อง Onsen จะอยู่ในอาคารแยก เดินไปสุดทางเดิน เพื่อออกไปด้านนอกอีกทีค่ะ ห้อง Onsen สะอาด เงียบสงบ ผ่อนคลายมากกกก เหมาะกับการเติมพลังเพื่อวันถัดไป…

หลับฝันแล้วซินะคืนนี้…(คือจองทำไมสองเตียง =.=)

วันที่ 3 | Kawaguchiko(Mt.Fuji)

ตื่นเจ็ดโมงครึ่งตามที่นัดไว้กับทาง Guest House สำหรับ Breakfast วิวบรรยากาศดีเห็นน้องฟูจิอยู่ไกลๆ จากห้องนอนค่ะ

อาหารเมื้อเช้าในวันนี้ค่ะ …

ทานข้าวเสร็จ ก็ขึ้นไปเก็บของ และ Check Out (ยอมรับว่าเป็นทริปรวบรัดจริงๆค่ะ ถ้ามากับคนอื่นไม่น่ามีใครอยากมาด้วย ^^”) ทาง Guest House มีบริการรถตู้ไปส่งที่สถานี Kawaguchigo เนื่องจากว่าเราแพลนที่จะไป Chureito Pagoda เพื่อถ่ายรูปเก็บมุมมหาชนต่อ

พอถึงเวลาขึ้นรถตู้ ปรากฏว่ามีแค่เรากับพี่สาวไวกลางคนที่เป็นคนขับรถส่งเรา ระหว่างทาง ฟ้าเปิด เห็นน้องฟูจิชัดมาก เราก็ถ่ายรูปน้องไปเรื่อยๆบนรถตู้ สักพักคนขับรถก็ถามว่ามาที่นี่คนเดียวหรอ รีบไหม พี่สาวก็เลี้ยวเข้าไปจุดชมวิว (มารู้ทีหลังคือ Station 16) เพื่อให้เราถ่ายรูป ซึ้งงงง T^T พี่สาวน่ารักมากกกก ได้ยินว่าเจ้าของ Guest House ที่นี่ มี Tour ปีนภูเขาไฟฟูจิ น่าสนใจมากๆ เก็บไว้เป็น bucket list ครั้งต่อไปค่ะ พี่สาวเขาขึ้นมา 3 รอบแล้ว เราก็ต้องทำได้ =^o^=

พอถึงสถานี Kawaguchigo ฝากกระเป๋าไว้ที่ locker ราคา ¥600 ไม่จำกัดชั่วโมง ซื้อตั๋วรถบัสล่วงหน้าเดินทางไป Kyoto ตอน 5 โมงเย็น (ดีใจมากที่ตัดสินใจซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้า เพราะตอนกลับมาสถานีอีกครั้ง คิวยาวมากๆ) และตั๋วรถไฟสำหรับเช้านี้เพิ่อเดินทางไป Chureito Pagoda

นั่งรถไฟไปลงสถานี Shimoyoshida

เดินต่อไปอีกประมาณ 20 นาทีจากสถานีค่ะ เดินชมวิวระหว่างทางไปเรื่อยๆ ขึ้นเขาไปเรื่อยๆชันเล็กน้อยค่ะ

ขึ้นเขาไปชันเล็กน้อย และแล้วเราก็ได้ มุมมหาชนกลับมา

เดินต่อนิดหน่อย เพื่อเก็บภาพน้องฟูจิค่ะ =^.^=

ลงมาศาลด้านล่างเพื่อขอพรกันนิดนึง… ครั้งหน้าขออย่าให้มาที่นี่คนเดียวเลย 😛

เดินกลับมาที่สถานี กินไอติมสักหน่อย ระหว่างรอรถไฟกลับไป Kawaguchigo

นั่งรถไฟกลับมา Kawaguchiko หิวแล้ววว ปรึกษา Google Map ได้ร้านเทมปุระที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีค่ะ ชอบมาก ชอบความทอดสดใหม่ๆ =^.^= พิกัด Fuji Tempura Idaten

ดูเวลาแล้ว เหลือเวลาเยอะอยู่พอสมควร เลยตัดสินใจนั่งรถบัสกลับไปสถานี 20 สถานีปลายทางอีกครั้งนึง … พอถึงสถานี เพิ่งรู้ตัวว่า น้องฟูจิ อายหายเข้ากลับเมฆไปแล้ว T^T รู้สึกโชคดีมากที่พี่สาวแวะจอดรถให้ถ่ายรูปเมื่อเช้า ลงจากสถานีไปเดินเล่นตรง Oishi Park ใกล้ๆสถานีค่ะ

เดินตามทางริมทะเลสาบมาเรื่อยๆ มีอุปสรรคบ้าง แต่ก็เดินมาจนถึงสถานี 16 ค่ะ (เชื่อไหมว่าน้องฟูจิอยู่หลังก้อนเมฆนั่น >.<)

แวะทานขนมเซ็ตน้ำชาสักหน่อย … ที่ Cafe Garden Terrace Mimi

ยังไม่ถึงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เห็นแค่นี้ก็เก็บภาพไว้หน่อย ^^

ไปๆมาๆก็หมดเวลาซะแล้ว รถบัสช่วงเย็นๆ คนจะเต็มมากถ้าไม่ได้ขึ้นจากสถานีสุดท้าย พลาดรถบัสคันแรกไปเพราะเต็มขึ้นไม่ได้ เกือบไม่ทันเวลาที่ต้องขึ้นรถบัสไป Kyoto ที่จองไว้ตอนห้าโมงซะแล้ว… ถึงสถานี Kawaguchiko รีบเอากระเป๋าออกจากล็อคเกอร์ วิ่งขึ้นรถบัสเลยค่าาา….

นั่งรถไปประมาณชั่วโมงครึ่ง ไปลงสถานี Mishima เพื่อต่อรถไฟ Shikansen ค่ะ JR ที่ซื้อไว้เป็นแบบตั๋วธรรมดาค่ะ คนก็จะเยอะมากๆ ที่นั่งเต็มทุกที่ ต้องอาศัยจังหวะที่คนลุกออก เพื่อหาที่นั่งค่ะ

ถึง Kyoto ประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ หารถบัสต่อไปโรงแรม คนที่นี่น่ารักมากก เห็นเรายืนงงๆหาสถานี เขาก็มาช่วยหาให้ค่ะ =^.^=

พอถึงโรงแรม Jackpot ค่าาา!!!! ไปผิดสาขา ชื่อเหมือนกันแต่ว่าคนละที่…
Glad: เดินทางจากที่นี่ไปโรงแรมอีกสาขาใช้เวลานานเท่าไหร่คะ
พนักงาน: ถ้านั่งรถ bus ไปก็ 30 นาที แต่ถ้า Taxi ก็ 10 นาที…
Glad: Taxi ประมาณเท่าไหร่คะ
พนักงาน: ประมาณ ¥1000 ค่ะ
Glad: งั้นขอนั่ง Taxi ไปละกันค่ะ รบกวนติดต่อให้หน่อยนะคะ ^^

พนักงานน่ารักใจดีมากกก โทรเรียก Taxi บอกจุดหมายปลายทางให้เสร็จสรรพ เรียกว่าไม่ได้คุยกับคนขับ Taxi เลยแม้แต่คำเดียว…ใช้เวลาประมาณสิบนาทีกว่าๆก็ถึงที่พัก เหนื่อยมากกก Check in เข้าที่พัก Hotel Glad One Kyoto Shijo Omiya สลบค่ะ…พรุ่งนี้มีแพลนแต่เช้าตรู่ด้วย…

วันที่ 4 | Kyoto

ช้านี้ ออกจากโรงแรมตั้งแต่ตี 5 สิบห้านาทีค่ะ คิดไว้แล้วว่าถ้ามากับคนอื่นด้วยยย คงไม่อยากตื่นเช้ากันแน่ๆ หรือว่านี่จะเป็นข้อดีของการมาคนเดียวนะ T^T…ออกจากโรงแรม เปิด Google Map หาจุดหมายปลายทางแรกที่วางแผนไว้ เดินไปสถานีรถรางที่อยู่ตรงหัวมุมถนน ประมาณ 3 นาที จากที่พัก … ออกมาเช้ามืดขนาดนี้ ไม่มีคนเลยค่า ^^

นั่งรถไฟจากสถานี Shijo-Omiya ไปลงสถานี Arashiyama ก่อนลงก็หยอดเหรียญค่ารถราง ทั้งเที่ยวราคาเดียวกัน ¥220 จากสถานีเดินไปอีก 10 นาที ก็ถึงแล้ว Arashiyama Bamboo Grove…ตื่นเช้ามาเพื่อสิ่งนี้ แทบไม่มีคน ถ้าจำไม่ผิด เวลาน่าจะประมาณ เกือบเจ็ดโมงเช้าค่ะ….

เดินถ่ายรูปเพลินๆค่ะ เดินดูสวนรอบๆจนมาถึงสะพาน Togetsu-Kyo ริมแม่น้ำ Katsura

เกือบ 8 โมงเช้าแล้ววว อีกไม่ถึง 10 นาที ร้าน % Arabica ร้านกาแฟร้านดังริมแม่น้ำ ก็ใกล้เปิดแล้ว เดินไปถึงก็ก็มีคนต่อแถวรอแล้วค่ะ เราน่าจะได้สักคิวที่ 7 หรือ 8 =^.^=

เดินจิบกาแฟไปเรื่อยๆ ไปดูสวนต่อที่ Tenryuji Temple…ใกล้ๆแม่น้ำ Katsura

 เดินเล่นสักพักเราก็ไปจุดหมายปลายทางต่อไปของเรากันต่อเลย… วัด Kinkaku-ji หรือวัดทองนั่นเอง

Glad นั่งรถประจำทางตาม  Google Map ไป ไม่ยากค่ะ ระหว่างรอรถ หาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วเจอว่าเราสามารถซื้อ Unlimited Day Pass ในราคา ¥600 ได้จากบนรถเลย เราก็เตรียมเหรียญให้พร้อม กับรูปบัตรที่หาได้จากใน internet เพื่อลดเวลาการสื่อสาร และหลีกเลี่ยงการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ เนื่องจากการซื้อบัตรและการจ่ายเงินต้องทำตอนลงจากรถแล้วเราอาจทำให้คนอื่นรอนานได้ค่ะ Kyoto Bus One-Day Pass

จากสถานีรถประจำทาง เดินไปไม่ไกลมากค่ะ ที่นี่นักท่องเที่ยวเยอะเป็นพิเศษ ไม่หลงแน่นอนค่ะ Glad ชอบที่ที่นี่เวลาถ่ายรูปแล้วไม่ติดคนเลยเพราะมีที่กั้นค่ะ.

Glad สังเกตดูแล้วว่า ขนมและของฝากตรงทางออกของที่นี่ ราคาถูกกว่าสถานที่ท่องเที่ยวหรือวัดอื่นเล็กน้อยยย ซื้อจากที่นี่ไว้บ้างก็ดีค่ะ 🙂

หลังจาก Kinkaku-ji นั่ง bus ไป Philosopher Path…Glad ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงตัดสินใจมาที่นี่ เพราะฤดูใบไม้ร่วงก็ยังมาไม่ถึง…ไหนๆก็มาแล้ว หาอะไรกินก่อน เปิด Google เจอร้านราเมงใกล้ๆ เลยแวะกินซะเลย Tenkaippin Ginkakuji ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ แต่ถือว่าโอเคค่ะ ^^

เดินเล่นที่นี่แป๊บเดียวก็กลับแล้วค่ะ…(ทัวร์ชะโงกของแท้ ^^”)

Unlimited pass ใช้คุ้มมากค่ะ นั่ง bus ไปต่อที่ Fushimi inari taisha เดินไปเดินมาระหว่างทางเข้าวัด…เห็นเจ้านี่ทุกมุม ไม่กินไม่ได้จริงๆค่ะ ^^”

เจอแล้วที่ที่คุ้นตาจากรูปคนอื่นบ่อยๆ…วันนี้เราได้มาแล้วนะ ^^

เนื่องจากวันนี้ตื่นแต่เช้า ร่างกายเริ่มอ่อนล้า ตัดสินในกลับมาพักผ่อนที่โรงแรมก่อน… ออกจากที่พักอีกทีก็ตอนเย็นๆ แพลนไว้ว่าจะไป Kiyomizu-dera หรือวัดน้ำใสค่ะ พยายามนั่งรถบัสไป แต่ว่ารอนานมากไม่มาสักที ป้ายที่รอเป็นสี่แยกด้วย เลยงงๆ ไม่แน่ใจว่ารอถูกป้ายรึเปล่า Glad เลยตัดสินใจขึ้นบัสมั่วๆ ขึ้นลงๆ ขึ้นลงอยู่นาน กะว่าใช้ Unlimited pass คุ้ม…

กว่าจะถึงพระอาทิตย์ก็เกือบตกดินแล้ว…ด้วยความที่มาครั้งแรก เขาไปกันตรงไหนนะ เดินไปเดินมา ซื้อตั๋วทางเข้า อ่าววววว เขาปิดปรับปรุงอยู่นี่นา ตั๋วราคา ¥400 เพิ่งรู้ว่าราคาเดียวกับตอนที่เขาไม่ได้ปิดปรับปรุงเลยค่ะ ฮืออออ T^T

นี่คือบทลงโทษของการไม่ศึกษาแพลนมาก่อน… สามารถดูภาพและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ Kiyomizu-dera ได้เก็บภาพอาคารด้านนอกก่อนพระอาทิตย์ตกเดินได้เล็กน้อย

Kyoto Tower ไกลๆจากที่นี่ค่ะ…

ขากลับไปแวะเดินเล่นยามค่ำคืนแถว Gion และข้าวหน้าแกงกะหรี่สีดำคือมื้อเย็นของวันนี้ค่ะ

 แวะชมบรรยากาศที่ Nishiki Market… เป็นอันจับวันค่ะ =^.^=

วันที่ 5 | Osaka

วันนี้ตื่นตั้งแต่ตีห้า นั่งรถไฟจาก Kyoto มา Osaka แบบง่วงๆ…เราบอกแล้ว เรามาคนเดียว เราจะตื่นกี่โมงก็ได้ ^^”

เนื่องจาก Glad มาญี่ปุ่นครั้งแรก ร้านอะไรที่เค้าไม่มากันแล้ว แต่เราก็ยังอยากลองอยู่ เราก็จะไป ร้านนั้นก็คือ…Endo Sushi ค่าาา วันนี้มากินซูชิแต่เช้า คนไม่ค่อยมี คำเดิียว…อร่อยค่ะ ^^

อิ่มท้องแล้ว Glad ก็ไปฝากกระเป๋าที่โรงแรม OYO 644 Hotel Art Inn Namba กันก่อน แต่ว่ายัง check in ไม่ได้ เพราะยังเช้าไปค่ะ

ฝากกระเป๋าเสร็จ … ไปกันต่อที่ Kuromon Market ค่ะ… เนื่องจาก JR Pass ใช้กับรถไฟบางสายไม่ได้ เราเลยซื้อ One-Day Pass ของที่นี่ไว้ ชอบหลงบ่อยอยู่แล้ว น่าจะเหมาะสุด

ทานซูชิมาแล้วแต่เช้าเลยไม่ค่อยได้ทานอะไรต่อเท่าไหร่ เดินชมบรรกาศนิดหน่อยค่ะ 🙂

เดินทาง นั่งรถไปต่อไป Osaka Castle วันนี้ฟ้าเปิดมากๆ แดดใช้ได้เลยค่ะ จากทางเข้าถึงตัวปราสาทลึกอยู่พอสมควร

ในที่สุดเราก็ได้เจอกัน…เห็นพูดถึงในการ์ตูนโคนันอยู่บ่อยๆ =^.^=

เข้าไปชมด้านในปราสาท  ค่าเข้าอยู่ที่คนละ ¥600 ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถชมวิวเมืองโอซาก้าได้จากปราสาทค่ะ กลับออกมาเดินรอบๆปราสาท … แดดแรงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว >.<

เดินไปเดินมา เพื่อหาสถานีรถไฟนั่งไป CUPNOODLES MUSEUM OSAKA IKEDA พิพิธภัณฑ์บะหมี่มีระยะทางที่ห่างจากตัวเมืองอยู่พอสมควร พิกัด

เดินจากสถานีไม่ไกลมาก…ถึงแล้วค่าาา ^^

เข้าไปด้านใน ค่าเข้าฟรีค่ะ แต่ไม่อนุญาตให้นำอาหาร เครื่องดื่ม กาแฟ เข้าด้านในค่ะ …ตรงนี้ชอบมาก…เป็น  timeline ของบะหมีแต่ละแบบว่าเกิดขึ้นในปี ค.ศ. ไหน… เยอะมากๆค่ะ

เรายืนรอเข้าแถวเพื่อออกแบบ Noodle Cup ในแบบของเราเองค่ะ 🙂 เขาจะให้เราเอาเหรียญมูลค่า ¥400 หยอดตู้กด เผื่อรับถ้วยเปล่ามาวาดรูปได้ตามอัธยาศัย ไม่รู้ว่าจะวาดอะไร…วาดสถานที่ที่เราไปมาแล้วกัน…^^”

เสร็จแล้ว เราก็ไปต่อแถวเพื่อเลือก soup base และ topping ได้สามอย่าง จากนั้น เค้าจะทำการ seal ให้เรียกร้อย และให้ถุงกันกระแทกมาอีกชั้นนึง ซึ่งเราต้องเป่าเอง เอากลับบ้านได้ ไม่ต้องกลัวถ้วยบุบแน่นอนค่า ^^

ได้บะหมี่แล้ว กลับมา check in ที่โรงแรมค่ะ ฝากกระเป๋าไว้นานเลย…กลับมาพักผ่อนเล็กน้อย…แพลนของคืนนี้คือ Dontonburi ที่สามารถเดินได้จากโรงแรมค่ะ

แสงสีละลานตามาก ร้านทาโกยากิ มีแทบทุกมุมถนน… มีอยู่ร้านนึงที่เหมือนว่าเพิ่งจะมาเปิด คนต่อแถวรอคิวเยอะมากค่ะ … รอไม่ไหว เลยเดินแบบสุ่มเข้าไปลองร้านอื่นใกล้ๆกันค่ะ

มื้อเย็นของวันนี้คือร้านราเม็งข้อสอบค่ะ อยากรู้มากว่ารสชาติเป็นยังไง … สั่งชามที่ basic สุด … แต่ … ทำไมเราเฉยๆมากกับราเม็งชามนี้ T^T แอบผิดหวัง … หรือว่าเราต้องสั่ง topping เพิ่ม … ใครก็ได้ช่วยบอกที T^T

ทานเสร็จ จุดหมายปลายทางต่อไปคือ Don Quijote ค่ะ … เข้าไปสำรวจข้างใน แต่ว่าไม่ได้ซื้ออะไรจากที่นี่มา เพราะแพลนไว้ว่าจะไปซื้อที่ Tokyo ในวันสุดท้าย แต่เอ๋… เค้ามีชิงช้าสวรรค์เล็กๆ เลยขึ้นไปชมวิวซะหน่อย…

ออกมาเดินเล่นต่อแถวริมน้ำค่ะ บรรกาศยังคึกคักเหมือนเดิมค่ะ… และเราก็ได้เจอกับป้าย glico ที่ทุกคนที่มา Dontonburi ต้องมาเยือนค่ะ ^^

เดินไปเดินมาก็หิวอีกแล้วค่ะ … เลยฝากท้องง่ายๆที่ Sukiya … วันนี้เป็นวันที่ยาวนานมากค่ะ อิ่มแล้ว…กลับไปนอนได้ ^^

วันที่ 6 | Osaka, Tokyo

Check out แต่เช้า มีเวลานิดหน่อยก่อนกลับโตเกียว ไม่ได้แพลนอะไรไว้ เลยเลือกที่จะไปวัด Somiyoshi-Taisha ในตอนเช้าค่ะ นั่งรถไฟไปตาม Google ลงที่สถานี Somiyoshitaisha ตามชื่อวัดเลยค่ะ 🙂 … เดินจากสถานีมาไม่ไกลเลยค่ะ ด้านหน้าวัดมีซุ้มขายขนมๆเล็กน่ารักด้วย

และนี่ก็คือสะพานที่เราเห็นใน Google Map เลยตัดสินใจมาที่นี่ค่ะ ^^

บริเวณรอบๆวัดและด้านในร่มรื่นมากค่ะ ^^

ระหว่างทางกลับสถานีรถไฟ แวะเข้าไป Cafe เล็กๆ ใกล้ๆวัด ได้ breakfast น่ารักๆ มาทานค่ะ ^^

ทาน breakfast เสร็จ เจอร้าน 100 เยน ที่อยู่ในสถานีรถไฟ … กะว่าจะไม่ซื้ออะไรจากที่นี่เพราะต้องเดินทางกลับไป Tokyo แต่ว่าของน่ารักๆเยอะมากๆ ได้มาเต็ม shopping bag ใหญ่ๆใบนึงเลยค่ะ ^^”

ถึงเวลากลับโตเกียวแล้ว แวะเอากระเป๋าที่โรงแรม แล้วไป รถไฟ JR แล้วไปต่อรถไฟชินคันเซน ที่ Shin-Osaka station ค่ะ … ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ไปลงสถานี Shijuku เป็นที่ที่จะพักเป็นคืนสุดท้ายค่ะ รถไฟมาถึงช่วง Prime Time พนักงานเลิกงานกันพอดี ในสถานีคนเยอะมากๆ ทางเดินแทบไม่มีที่ว่างเลย… ต้องฝ่าฟัน เบียดกันออกมาจากสถานีค่ะ …

เป็นความผิดพลาดของ  Glad อีกอย่างนึง ที่ไม่ได้ศึกษา area ให้ดีซะก่อน ไปๆมาๆโรงแรมที่จองไว้คือ Shinjuku Granbell Hotel อยู่แถบ love hotel พอดี ตัวโรงแรมที่พักดูปลอดภัยและสะอาดมากๆค่ะ แต่ไปไหนมาไหนแถวนั่น ต้องระวังตัวเป็นพิเศษค่ะ

Check in เก็บกระเป๋าเรียบร้อย จุดหมายปลายทางต่อไปของ Glad คือ… Tokyo tower ค่ะ นั่งรถไฟไปตาม Google และเดินต่อจากสถานีอีกเล็กน้อยค่ะ… เห็น Tokyo Tower แต่ไกลเลยจากสถานี ^^

ใกล้ถึงแล้วค่ะ…^^

ถึงแล้วก็ไปต่อแถวเพื่อซื้อตั๋ว ตั๋ว Glad เลือกไปชมวิวบน top deck ค่ะ .. ซื้อตั๋วเสร็จ จะมีรอบขึ้นเป็นเวลาระบุไว้ในตั๋วว่าเราสามารถขึ้นได้เวลากี่โมง Glad ต้องรออีกประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง เลยตอนออกไปดูรอบๆ tower ค่ะ

มีเวลาอีกนิดหน่อยเลยเดินเล่นหาอะไรทานแถวชั้นสองค่ะ… ได้ราเม็งมาทาน น้ำซุปมีรสชาติถั่วนำ แปลกดีค่ะ

ได้เวลาขึ้นแล้ว…!!! ตรงทางเข้า เขาจะแจกอุกปรณ์ที่สามารถเลือกได้หลายภาษาเพื่อบรรยายระหว่างที่เราเดินค่ะ ชมวิวโตเกียวยามค่ำคืนสักหน่อย ^^ (ขออภัยมือใหม่ หากรูปไม่ชัดค่าา ^^;)

หลังจากชม Tokyo Tower ก็ดึกแล้ว มีเวลาเดิน Shibuya ได้แค่แป๊บเดียวค่ะ แต่เราก็ยังได้เจอกับน้อง Hachiko ค่ะ 🙂 (ก็อยู่ตรงหน้าสถานีเลยหนิเน๊อะ) ภาพนี่เหมือนมาตอนกลางวัน จริงๆคือดึกมากแล้ว แต่แสงไฟที่นี่เยอะมากๆ สว่างมากๆค่ะ

แม้จะดึกมากแล้ว แต่คนก็ยังเยอะมากๆค่ะ

เป้าหมายของเราที่นี่คือ Don Quijote ค่ะ จัดการซื้อของแล้วขนมที่ list มาให้หมด และรีบกลับที่พักเพราะรู้สึกว่าดึกมากแล้ว…

ระหว่างรอรถไฟกลับโรงแรม ดูนาฬิกาอีกทีก็เที่ยงคืนแล้วค่ะ ต้องระวังเป็นพิเศษเลย เนื่องจากต้องใช้เวลาเกือบสิบนาทีเดินจากสถานีกลับโรงแรม ยังดีที่ยังมีคนพอเดินอยู่บ้าง จึงพยายามเกาะกลุ่มเขาไป … ระหว่างทางเจอคุณลุงที่ดูเมาแล้วผ่านการทะเลาะกับคนอื่นมาแล้วหนึ่งรอบ … คุณลุงเดินแบบไม่สนใจใครทั้งสิ้น แอบคิดว่า ถ้าต้องเจอกับคุณลุงคนเดียวคงแอบน่ากลัวอยู่ไม่น้อย ^^” ถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพค่ะ…พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วหรอเนี่ย…?!!

วันที่ 7 | Tokyo

ช้านี้มีเวลาไม่มาก แพลนไว้ว่าจะไปเดินเล่นแถวชินจูกุในตอนเช้า แล้วเดินทางไปที่สนามบินในตอนเที่ยว แต่ว่า…ก่อนออกไปเดินเล่น ได้ message จากสายการบินว่า เครื่องบินจะ delay ไปอีก 3 ชั่วโมง! ดีใจมากๆค่ะ ได้อยู่ต่ออีกตั้งหลายชั่วโมง เราเลยติดต่อพี่คนไทยที่เขาอยู่ที่นี่ ให้ช่วยแนะนำพาเที่ยวค่ะ

เดินเล่นแถว ชินจูกุในตอนเช้า…

แวะทานของหวานที่ Shinjuku Takano Fruit Bar ค่ะ

ใช่แล้วค่ะ…ทานของหวานก่อนทานข้าว ^^ และแล้ว…สิ่งไม่คาดฝันก็เกินขึ้น! พี่คนไทยถาม Glad ว่าสนในไปทาน Sushi Omakase ไหม! แล้วมันก็เป็นร้านที่ Glad เล็งไว้ในตอนแรกเนื่องจากคิดว่าจะไม่มีเวลา บวกกับที่ research ไว้คือต้องทำการจองล่วงหน้ามาก่อน… แต่โชคดีมากๆ ที่พี่เขาพูดญี่ปุ่นได้ เลยลองถามเขาดูว่ามี walk-in ไหม ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมจริงๆค่ะ ว่ามีที่ว่างรึเปล่า…เขาบอกว่าให้กลับมาอีก 40 นาทีค่ะ ดีใจมากๆ ต้องขอบคุณพี่เขาจริงๆ T^T ไม่งั้น Glad คงจะไม่ได้กิน ^^” ระหว่างรอ Glad เลยไป JR Ticket Center เพื่อจองตั๋วและเวลากลับของ NARITA EXPRESS ที่จะกลับสนามบินค่ะ

และด้านล่างนี้ก็คือ set ทั้งหมดค่ะ …

ร้านซูชิชื่อ Sushi Tokyo Ten ค่ะ ราคาอยู่ที่หัวละ ¥7000 สามารถจองวันเวลาล่วงหน้าออนไลน์ได้ที่นี่ค่ะ http://sushitokyo-ten.com/

ได้ทาน Omakase มื้อนี้ไป ถือว่าทริปนี้จบลงอย่างเสร็จสมบูรณ์มากค่ะ นั่ง NARITA EXPRESS โดยใช้ JR Pass เพื่อกลับสนามบิน รับกระเป๋าใบใหญ่ทั้งสองใบที่ฝากไว้ที่สนามบิน …ลาก่อน Japan ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้าแน่นอนค่าาาา ^^

2 comments

Add Yours

Comments:

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.